ที่ผ่านมาการที่มนุษย์สื่อสารกับคอมพิวเตอร์อย่างการเขียนโปรแกรม (programming) นั้นอาจจะเป็นทักษะเฉพาะของคนบางกลุ่ม แต่วันนี้เมื่อคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารภาษาธรรมชาติ (natural language) กับเราได้แล้ว มันเลยกลายเป็นทักษะของทุกคนไปโดยปริยาย ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ใช้ ChatGPT มาเยอะพอสมควรก่อนที่มันจะเริ่มบูมในไทย(ขอขิงหน่อย 555) และได้ศึกษาเรื่อง prompt engineering อย่างจริงจัง ไปจนถึงการพัฒนา web UI มาช่วย interact กับ ChatGPT API เพื่อให้ใช้งาน GPT ได้ productivity มากขึ้น (ใช้ ChatGPT ผ่าน UI ของเค้ามีข้อจำกัดพอสมควร)…

Let’s Talk about Plagiarism and Ethics as a Content Creator — พอดีผมเจอว่ามีคนที่ผมรู้จักคนหนึ่งลอกโครงสร้างและบริบทจากบทความผมไปใช้หลายโพสต์โดยเปลี่ยนแค่คำเพียงไม่กี่คำ ซึ่งอ่านผ่านตาแค่ 10 วินาทีก็รู้เลยว่าบทความไหนคือสำนวนภาษาที่เค้าเขียนเอง และบทความไหนคือสำนวนภาษาที่ผมเขียน ผมได้ capture หลักฐานเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือวิดีโอพร้อมคำพูดอธิบายที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดโดยละเอียด เมื่อถึงวันที่มันจำเป็นต้องใช้ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งถกเถียงอะไรกันอีก

Note ไว้เฉย ๆ ครับ พอดีเครื่องผมซึ่งตอนนี้เป็น Mac OS: Ventura 13.2.1 CPU: Apple M2 Pro Node version: 18.14.1 NPM version: 9.3.1 live-server version: 1.2.2 ลองติดตั้งด้วยวิธีปกติที่เคยทำแบบข้างล่างนี้แล้ว run ไม่ได้ sudo npm install -g live-server ซึ่งพอ run live-server เจอว่า zsh: command not found: live-server ก็เลยเช็คว่ามันไปติดตั้งไว้ไหน npm ls -g live-server /Users/nopnithi/.npm-global/lib └── live-server@1.2.2

ในบทความนี้เราจะมาลองดูว่าทำไม object เป็นทางเลือกที่ควรใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดค่า variable ใน Terraform ที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน Overview สำหรับ object และ any ใน Terraform, any เป็น data type ที่สามารถที่จะรับข้อมูลเข้ามาเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น string, number, bool, listหรือ map ซึ่งมันช่วยให้อะไรง่ายก็จริง แต่ในบางมุมก็จะมีข้อเสียอยู่ เดี๋ยวมาว่ากัน object เป็น data type ที่ทำให้เราสามารถกำหนด structure ของข้อมูลที่รับเข้ามาผ่าน variable ได้นอกเหนือไปจาก string, number, bool, listหรือ map

เนื่องด้วยที่บริษัทผมทุกครั้งที่เรามีการ deploy อะไรบางอย่างบน database (RDS) ก็จะมีการสร้าง snapshot กันเหนียวไว้เสมอผ่าน CI/CD pipeline หรืออย่างการ stop RDS instance ผ่าน instance scheduler ด้วยเช่นกัน ทำให้ใน account หนึ่ง ๆ มี RDS snapshot ที่ไม่ได้ใช้เป็นจำนวนมาก และไม่มี policy ในการจัดการ lifecycle เลย ดังนั้นผมจึงทำ solution ง่าย ๆ นี้ออกมาเพื่อช่วยลบ RDS manual snapshot เหล่านี้ โดยเราจะ deploy resource เหล่านี้ผ่าน AWS SAM (Serverless Application Model) และ…

สรุปจากบทความ “What Is a Platform Team and What Problems Do They Solve?” ของ HashiCorp ซึ่งเค้าพูดถึง maturity model ของทีม platform (หรือ cloud) ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนไปใช้ cloud

ช่วงเวลาในการสร้างและลบ AWS Account ผมจะสมัคร account ใหม่ทุกต้นปี (ต้น ๆ มกราฯ) ส่วนช่วงปลายปี (ปลาย ธันวาฯ) ผมจะไล่ลบ account เก่า ทั้งหมดก็เพื่อใช้ free tier ที่มีให้ 12 เดือนนั่นแหละครับ ใช้ Email Forwarding Service แทน Email ส่วนตัว เราสามารถ generate email ได้ไม่จำกัด โดยทั้งหมด forward ไปที่ email เดียว ผมใช้ตัวนี้แทน email จริงตอนสร้าง account Email ที่ generate ขึ้นมาจะใส่ suffix เพื่อให้สามารถที่จะสร้างและลบได้โดยไม่มีประเด็น เช่น aws01-a1b2c3d4e5@nopnithi.xxx.com หรือ aws01-b2c3d4e5f6@nopnithi.xxx.com ดังนั้นผมจะมี aws01 กี่ครั้งกี่ตัวก็ได้

Script ทั้งสองนี้เขียนด้วย Python ใช้สำหรับ backup ข้อมูล tag ของ EC2 instance ทั้งหมดเก็บไว้ก่อน หากมีอะไรผิดพลาดก็สามารถ restore กลับได้ เหมาะสำหรับใช้ในกรณีที่เราต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไข tag ของ EC2 instance จำนวนมาก ซึ่ง ณ วันที่ผมเขียนอยู่นี้ยังไม่มี AWS service ทำฟังก์ชั่นนี้ได้ 1) backup_ec2_tags.py ดึงข้อมูล tag ของ EC2 instance ทั้งหมดมาเก็บเอาไว้เป็นไฟล์ JSON 2) restore_ec2_tags.py นำไฟล์ JSON จาก script backup_ec2_tags.py เป็น input เพื่อ restore (เพิ่ม/ลบ/แก้ไข) tag ของ EC2 instance ทั้งหมดให้เป็นไปตามไฟล์

พูดถึงการ design architecture ว่า workload ของเราบน AWS ควรจะใช้กี่ availability zone (AZ) ดี? ใช้แค่ 1 AZ ได้มั้ย? หรือถ้าใช้ 2 AZs พอมั้ย? หรือควรไป 3, 4 AZs ดีกว่า Table of Contents สร้าง Baseline กันก่อน คำถามคือใช้ 2 AZs พอมั้ย? หรือไป 3, 4 AZs ? งั้นยิ่งใช้ AZ เยอะก็ยิ่งดี? งั้นใช้ 2 AZs ดีกว่า? สรุป สร้าง Baseline กันก่อน Non-critical environment เช่น test, dev…